ท่านผู้หญิงเกนหลง เขียนไว้ในหนังสือ
"ทำเป็นธรรม" ขณะเสด็จฯ ออกจากประเทศไทยไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีประชาชนส่งเสด็จจำนวนมาก ดังนี้
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องถวายพระพร ระหว่างที่รถพระที่นั่งแล่นผ่าน ฝูงชนส่งเสด็จเดินทางจากสยามประเทศเพื่อไปศึกษาต่อ ณ สวิตเซอร์แลนด์
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2489 ได้มีเสียงหนึ่งตะโกนแทรกมาเข้าพระกรรณว่า
"ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน" ในขณะนั้น ทรงนึกตอบในพระทัยว่า
"ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร"
ภาพนี้ยังคงติดอยู่ในพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หั
ว จนมิอาจลืมเลือนได้ตราบถึงปัจจุบัน เพราะทรงตระหนักว่า
ทรงมีหน้าที่เพื่อชาติ ถึงโอกาสที่ควรจะทรงทำหน้าที่เพื่อชาติและประชาชน
ตามที่ประชาชนพร้อมใจกันทูลเกล้าฯ ถวายพระราชภาระอันยิ่งใหญ่
และเพื่อเป็นการผ่อนคลายความเศร้า
ความเสียขวัญของพสกนิกรชาวไทย ซึ่งเพิ่งผ่านการสูญเสียครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์
ระหว่างนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชนิพนธ์บันทึกประจำวัน
"เมื่อ ข้าพเจ้าจากสยาม สู่สวิตเซอร์แลนด์"
พระราชทานแก่หนังสือวงวรรณคดีไทย
เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกซาบซึ้งพระราชหฤทัยถึงน้ำใจของ
ประชาชนที่พร้อมใจกันมาส่งเสด็จอย่างมืดฟ้ามัวดิน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มบท
พระราชนิพนธ์ว่า...
"วงวรรณคดี" ได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องเล็กน้อยที่ถนัดมาลงในหนังสือนี้นานมาแล้ว
อันที่จริงข้าพเจ้าก็ไม่ใช่นักประพันธ์ เมื่ออยู่โรงเรียน
เรียงความและแต่งเรื่องก็ทำไม่ได้ดีนัก...ฉะนั้น
จึงตกลงใจส่งบันทึกประจำวันที่เขียนไว้ก่อนและระหว่างวันเดินทาง
จากสยามสู่สวิตเซอร์แลนด์มาให้
และในโอกาสนี้จึงขอขอบใจเป็นการส่วนตัวต่อ ทุกๆ คน
ที่มาถวายความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชของข้าพเจ้า
ณ พระมหาปราสาท ตลอดจนความปรารถนาดี ที่มีต่อตัวข้าพเจ้าเอง
กับขอขอบใจเหล่าทหารและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการ
ด้วยความจงรักภักดีต่อเราทั้งสองด้วย
วั
นที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2489- อีกสามวันเท่านั้น เราก็จะต้องจากไปแล้วฉะนั้น จึงตั้งใจจะไปนมัสการพระพุทธชินสีห์ ที่วัดบวรนิเวศวิหารรวมทั้งสมเด็จพระสังฆราชด้วย ยืนรออยู่บ้าง แต่ไม่สู้มากนักเข้าไปในพระอุโบสถ จุดเทียนนมัสการ ฯลฯ...แล้วได้มีโอกาสทูลปฏิสันถารกับสมเด็จพระสังฆราชทรงนำพระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์สูงมาให้รู้จักโดยปกติได้เคยเห็นท่านเหล่านี้มาจนชินแล้วทรงนำขึ้นไปนมัสการพระสถูป บนนั้นมีพระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ชื่อพระไพรีพินาศ พระองค์นี้เคยทรงเล่าประวัติมาก่อนหน้านี้แล้วหลายวัน หลังจากนั้นก็นมัสการลาตอนนี้มีราษฎรชุมนุมกันหนาตาขึ้น ต่างก็ยัดเยียดเบียดเสียดกันจนรู้สึกเกรงไปว่ารถที่นั่งมาจะทับเอาใครเข้าบ้าง ช่างเคราะห์ดีแท้ๆ ที่ไม่มีอันตรายอันใดเกิด ขึ้นแก่ประชาชนที่มานั้นเลย ในหมู่ประชาชนที่มารอกันอยู่วันนี้ จำได้ว่ามีบางคนเคยเห็นที่พระมหาปราสาทเป็นประจำมิได้ขาด ไม่รู้ว่าหาเวลามาจากไหน จึงไปที่พระมหาปราสาทได้เสมอเกือบทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และวันอาทิตย์ พวกนี้ก็มาที่วัดนี้ด้วยเหมือนกันวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2489- เก็บของลงหีบและเตรียมตัว...วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2489- เราต้องจากไปในวันพรุ่งนี้แล้ว! อะไรๆ ก็จัดเสร็จหมดหมายกำหนดการก็มีอยู่พร้อม...บ่ายวันนี้เราไปถวายบังคมพระบรมอัฐิของพระบรมราชบุพการีของเราทั้งสมเด็จพระมหากษัตริย์ และสมเด็จพระบรมราชินีในรัชกาลก่อนๆแล้วก็ไปถวายบังคมลาพระบรมศพ เราต้องทูลลาให้เสร็จในวันนี้และไม่ใช่พรุ่งนี้ตามที่ได้กะไว้แต่เดิม เพื่อจะรีบไม่ให้ชักช้า เพราะพรุ่งนี้จะได้มีเวลาแล่นรถช้าๆให้ราษฎรเห็นหน้ากันโดยทั่วถึงเมื่อออกจากพระที่นั่งไพศาลทักษิณมายังพระที่นั่งอมรินทร-วินิจฉัยผู้คนอะไรช่างมากมายเช่นนั้น! เมื่อวานนี้เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาถามว่าจะอนุญาตให้ประชาชนเข้ามาหรือไม่ ในขณะที่ไปถวายบังคมพระบรมศพตอบเขาว่า "ให้เข้ามาซิ" เพราะเหตุว่า วันอาทิตย์เป็นวันสำหรับประชาชนเป็นวันของเขา จะไปห้ามเสียกระไรได้ และยิ่งกว่านั้นยังเป็นวันสุดท้ายก่อนที่เราจะจากบ้านเมืองไปด้วยข้าพเจ้าอยากจะแลเห็นราษฎร เพราะกว่าจะได้กลับมาเห็นเช่นนี้ก็คงอีกนานมาก.วันนี้พวกทหารรักษาการณ์กันอย่างเต็มที่เพื่อกันทางไว้ให้รถแล่นได้สะดวกไม่เหมือนเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่มากันคนวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2489- วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว!พอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่งชั้นล่างนั้น แล้วก็ไปยังวัดพระแก้ว เพื่อนมัสการลาพระแก้วมรกต และพระภิกษุสงฆ์ลาเจ้านายฝ่ายหน้า ลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์พอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึง 200 เมตร มีหญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถแล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบ ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้นบางทีจะเกิดเป็นลูกระเบิด! เมื่อมาเปิดดูภายหลัง ปรากฏว่าเป็นทอฟฟี่ที่อร่อยมากตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลางราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเข้าบ้างรถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด ถึงวัดเบญจมบพิตรรถแล่นเร็วขึ้นได้บ้างตามทางที่ผ่านมา ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆ ว่า"อย่าละทิ้งประชาชน"อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่าถ้าประชาชนไม่ "ทิ้ง" ข้าพเจ้า แล้ว ข้าพเจ้าจะ "ละทิ้ง"อย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้วเมื่อมาถึงดอนเมือง เห็นนิสิตมหาวิทยาลัยผู้จงใจมาเพื่อส่งเราให้ถึงที่ได้รับของที่ระลึก เป็นรูปเครื่องหมายของมหาวิทยาลัย 11.45 นาฬิกาแล้วมีเวลาเหลืออีกเล็กน้อยสำหรับเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ที่สโมสรนายทหารต่อจากนั้นก็ไปขึ้นเครื่องบิน เดินฝ่าฝูงคน ซึ่งเฝ้าดูเราอยู่จนวาระสุดท้ายเมื่อขึ้นมาอยู่บนเครื่องบินแล้วก็ยังมองเห็นราษฎรได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องอวยชัยให้พรแต่เมื่อคนประจำเครื่องบินเริ่มเดินเครื่องทีละเครื่องๆ เสียงเครื่องยนต์ดังสนั่นหวั่นไหวกลบเสียงโห่ร้องก้องกังวานของประชาชนที่ดังอยู่หมดพอถึง 12 นาฬิกา เราก็ออกเดินทาง มาบินวนอยู่เหนือพระนครสามรอบ ยังมองเห็นประชาชนแหงนดูเครื่องบินทั่วถนนทุกสายในพระนครบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันตกมุ่งตรงไปยังเกาะลังกา (ซีลอน)เสียงเครื่องบินดังสนั่นหนวกหูหากผู้ใดอยากจะพูดก็จะต้องตะโกนออกมาให้สุดเสียงดังนั้น จึงไม่มีใครพูดเลย ทางที่ดีที่สุดที่พึงทำคือ หลับตาเสียแล้วนิ่งคิดที่มา : เปลว สีเงิน 26 กันยายน 2552
http://www.thaipost.net/news/260909/11335จับใจเหลือเกิน ในเวลาที่บ้านเมืองลุกเป็๋นไฟอย่างนี้ไม่รู้ว่า น้องๆวัยรุ่นสมัยนี้ จะมีความจับใจกับเรื่องพวกนี้สักกี่มากน้อยแต่สำหรับแนน เวลาอ่านเรื่องอย่างนี้แล้วน้ำตามันซึมทุกครั้ง วันนี้ เห็นพวกพ้องที่แนวคิดเดียวกัน โมโห อารมย์เสีย กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราก็เข้าใจว่าพรรคพวกรู้สึกอย่างไร เพราะวูบแรกก็ไม่ต่างกันแต่ถ้าเห็นแต่คนร้อนใจ แต่จะดับไฟอย่างไรถ้าใจร้อน ฝากหนึ่งเขาร้อน เจตนาเขาก็คือไม่อยากให้มันสงบ แล้วเราก็ลุกขึ้นฟาดฟันกัน บ้านเมืิิองก็ลุกเป็นไฟ สมใจเขาล่ะสิใครจะทุกข์เท่า นายหลวงของเรา เนื่องจากทั้ง เราและเขาที่ลุกขึ้นฟาดฟันลูกไทย เหมือนกันทั้งนั้นเป็นผสกนิกรในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเช่นกัน ในหลวงจะว่าอย่างไร หากฝ่ายนึงทำร้าย อีกฝ่ายโต้ตอบ เหมือนเห็นลูกฆ่ากัน ท่านจะเสียใจแค่ไหนแล้วเราจะกล้าประกาศตัวเองว่าเรารักในหลวงอีกหรืออย่าละทิ้งท่าน โดยการไม่ละทิ้งแนวทางของท่านพระราชดำรัส "ในหลวง"เคยกล่าวไว้ว่า:ถ้าไม่สามัคคี ก็บอกแล้วว่า ประเทศจะประสบความหายนะ ไม่ได้ใช้คำว่าหายนะ แต่ก็คล้ายกัน ว่าถ้าไม่สามัคคีกัน ไม่ปรองดองกัน ประเทศชาติล้ม ถ้าล้มก็ ผลของการล้มนั้นมีหลายอย่าง ถ้าทางกายก็ร่างกายกระดูกหัก และต้องเข้ารักษา บางทีรักษานานๆ ไม่มีสิ้นสุด ถ้าไม่ระวังประเทศชาติก็ล่มถ้ารักท่านจริงคนที่จากบ้านมาเพราะอะไรก็ตาม กลับบ้านเสียนะคะระบบมันมีของมันอยู่ ท่านอยู่ตรงนี้ ก็ดีแต่ตกเป็นเครื่องมือของคนที่ไม่ต้องการความสงบส่วนคนที่กำลังโมโห คิดว่าจะต้องบุก ต้องจัดการ จะต้องฆ่า จะต้องฟาดฟันกันให้ตายไปข้าง ถ้าเราใช้ความรุนแรงกับเขา แล้วที่เราว่าเขาใช้คว่ามรุนแรงความถ่อย ความความเถื่อน เราต่างจากเขาตรงไหนฝากอีกซักคำ "รักพ่อ อย่าทะเลาะกัน"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น