วันอาทิตย์, พฤษภาคม 16, 2553
พี่อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์@รางวัลนาฏราช
พ่อเป็นเสาหลักของบ้านบ้านของผมหลังใหญ่มา
วันเสาร์, พฤษภาคม 15, 2553
วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 13, 2553
บางทีมันก็เกินจะเข้าใจว่าคิดอะไรกันอยู่
บางทีก็ให้สงสัยว่า สิ่งที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้มันด้อยกว่าคนอื่นเขามากนักหรืออย่างไร
อะไรที่ใฝ่หา เสรีภาพ เงินตรา หรือประชาธิปไตย
เสรีภาพ ในความเป็นมนุษย์ ตอนนี้มันไม่มีอยู่เลยหรือ
เราถูกกดขี่ขนาดนั้นเชียวหรือ
ทำไมบางคนจึงพูดประหนึ่งว่า...
ประเทศนี้มันย่ำแย่เสียเหลือเกิน เพราะเราถูกอำนาจครอบงำ
โดนปิดกั้น เราโดนริดรอนสิทธิ ฯลฯ
หรือทั้งหมดที่คิดนั้น
มาจากการสังเคราะห์ข้อมูลที่เราได้มา
เพราะเขาบอกว่า มันเป็นแผนการของผู้มีอำนาจ ที่ไม่อยากสูญเสียสิ่งที่มี
เพราะ ข่าวเล่าเรื่องลือ ว่า คนนั้นทำอย่างนี้ จึงเป็นอย่างนี้
คนนั้นทำอย่างนั้น จึงเป็นอย่างนั้น ผลเลยออกมาอย่างนี้
ถามสักคำ ข้อความ ข้อมูลที่ได้รับนั้นก่อนเชื่อนั้นได้พิสูจน์แล้วหรือยัง
คนที่บอกเรา เชื่อถือได้มากแค่ไหน
คนที่บอกเรา ไปฟังเขาบอกมาอีกทีหรือเปล่า
เราโดนกระทำจริง หรือเราเชื่อว่าเราโดนกระทำ
แล้วถ้าโดนกระทำจริง ก่อนหน้าที่ทำไมเราถึงไม่ได้รู้สึก
ทำไมพึ่งมารู้สึกว่ามีคนมาบอก
ทำไมถึงเชื่อคำพูดมากกว่าการกระทำ สิ่งที่เห็นจนชินตา
หรือเพราะไม่มีใครออกมาแก้ข่าว เลยเชื่อไปว่า นั่นมันจริง
ลืม...สิ่งที่หลายสิบปีเคยเชื่อเคยรัก เคยเห็นเคยรู้สึก
เพราะเพียงสิ่งที่ฟังข้อมูลที่ได้รับ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สิ่งที่ฟังเรื่องเล่านั้น
เกิดขึ้นจริงหรือไม่
ได้ยินกับหู ได้เห็นกับตา หรือก็เปล่า
เชื่อจริงๆหรือว่าเปลี่ยนแล้วมันจะดีขึ้น
เชื่อจริงๆหรือ ว่าชนชั้นจะหายไป
สำหรับฉัน ฉันเชื่อในสิ่งที่เห็น เชื่อในสิ่งสัมผัส
ในสิ่งที่รู้สึก เชื่อในรากในเหง้า ในสิ่งที่เราเป็น
เชื่อว่า ชาติไทยนั้น แสดงสัญญลักษณ์ ออกมาชัดเจนที่ธง สิ่งที่ทำให้เราคงเป็นไทย คือ
ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์
ผิดไปจากนั้น ฉันถือว่านั่นไม่ใช่เรา
วันอาทิตย์, พฤษภาคม 09, 2553
มีรูปไหนที่ดูแล้วน้ำตาไหลหรือเปล่า
วันเสาร์, พฤษภาคม 08, 2553
"ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร"
นที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2489- อีกสามวันเท่านั้น เราก็จะต้องจากไปแล้วฉะนั้น จึงตั้งใจจะไปนมัสการพระพุทธชินสีห์ ที่วัดบวรนิเวศวิหารรวมทั้งสมเด็จพระสังฆราชด้วย ยืนรออยู่บ้าง แต่ไม่สู้มากนักเข้าไปในพระอุโบสถ จุดเทียนนมัสการ ฯลฯ...แล้วได้มีโอกาสทูลปฏิสันถารกับสมเด็จพระสังฆราชทรงนำพระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์สูงมาให้รู้จักโดยปกติได้เคยเห็นท่านเหล่านี้มาจนชินแล้วทรงนำขึ้นไปนมัสการพระสถูป บนนั้นมีพระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ชื่อพระไพรีพินาศ พระองค์นี้เคยทรงเล่าประวัติมาก่อนหน้านี้แล้วหลายวัน หลังจากนั้นก็นมัสการลาตอนนี้มีราษฎรชุมนุมกันหนาตาขึ้น ต่างก็ยัดเยียดเบียดเสียดกันจนรู้สึกเกรงไปว่ารถที่นั่งมาจะทับเอาใครเข้าบ้าง ช่างเคราะห์ดีแท้ๆ ที่ไม่มีอันตรายอันใดเกิด ขึ้นแก่ประชาชนที่มานั้นเลย ในหมู่ประชาชนที่มารอกันอยู่วันนี้ จำได้ว่ามีบางคนเคยเห็นที่พระมหาปราสาทเป็นประจำมิได้ขาด ไม่รู้ว่าหาเวลามาจากไหน จึงไปที่พระมหาปราสาทได้เสมอเกือบทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และวันอาทิตย์ พวกนี้ก็มาที่วัดนี้ด้วยเหมือนกันวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2489- เก็บของลงหีบและเตรียมตัว...วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2489- เราต้องจากไปในวันพรุ่งนี้แล้ว! อะไรๆ ก็จัดเสร็จหมดหมายกำหนดการก็มีอยู่พร้อม...บ่ายวันนี้เราไปถวายบังคมพระบรมอัฐิของพระบรมราชบุพการีของเราทั้งสมเด็จพระมหากษัตริย์ และสมเด็จพระบรมราชินีในรัชกาลก่อนๆแล้วก็ไปถวายบังคมลาพระบรมศพ เราต้องทูลลาให้เสร็จในวันนี้และไม่ใช่พรุ่งนี้ตามที่ได้กะไว้แต่เดิม เพื่อจะรีบไม่ให้ชักช้า เพราะพรุ่งนี้จะได้มีเวลาแล่นรถช้าๆให้ราษฎรเห็นหน้ากันโดยทั่วถึงเมื่อออกจากพระที่นั่งไพศาลทักษิณมายังพระที่นั่งอมรินทร-วินิจฉัยผู้คนอะไรช่างมากมายเช่นนั้น! เมื่อวานนี้เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาถามว่าจะอนุญาตให้ประชาชนเข้ามาหรือไม่ ในขณะที่ไปถวายบังคมพระบรมศพตอบเขาว่า "ให้เข้ามาซิ" เพราะเหตุว่า วันอาทิตย์เป็นวันสำหรับประชาชนเป็นวันของเขา จะไปห้ามเสียกระไรได้ และยิ่งกว่านั้นยังเป็นวันสุดท้ายก่อนที่เราจะจากบ้านเมืองไปด้วยข้าพเจ้าอยากจะแลเห็นราษฎร เพราะกว่าจะได้กลับมาเห็นเช่นนี้ก็คงอีกนานมาก.วันนี้พวกทหารรักษาการณ์กันอย่างเต็มที่เพื่อกันทางไว้ให้รถแล่นได้สะดวกไม่เหมือนเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่มากันคนวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2489- วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว!พอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่งชั้นล่างนั้น แล้วก็ไปยังวัดพระแก้ว เพื่อนมัสการลาพระแก้วมรกต และพระภิกษุสงฆ์ลาเจ้านายฝ่ายหน้า ลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์พอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึง 200 เมตร มีหญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถแล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบ ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้นบางทีจะเกิดเป็นลูกระเบิด! เมื่อมาเปิดดูภายหลัง ปรากฏว่าเป็นทอฟฟี่ที่อร่อยมากตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลางราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเข้าบ้างรถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด ถึงวัดเบญจมบพิตรรถแล่นเร็วขึ้นได้บ้างตามทางที่ผ่านมา ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆ ว่า"อย่าละทิ้งประชาชน"อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่าถ้าประชาชนไม่ "ทิ้ง" ข้าพเจ้า แล้ว ข้าพเจ้าจะ "ละทิ้ง"อย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้วเมื่อมาถึงดอนเมือง เห็นนิสิตมหาวิทยาลัยผู้จงใจมาเพื่อส่งเราให้ถึงที่ได้รับของที่ระลึก เป็นรูปเครื่องหมายของมหาวิทยาลัย 11.45 นาฬิกาแล้วมีเวลาเหลืออีกเล็กน้อยสำหรับเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ที่สโมสรนายทหารต่อจากนั้นก็ไปขึ้นเครื่องบิน เดินฝ่าฝูงคน ซึ่งเฝ้าดูเราอยู่จนวาระสุดท้ายเมื่อขึ้นมาอยู่บนเครื่องบินแล้วก็ยังมองเห็นราษฎรได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องอวยชัยให้พรแต่เมื่อคนประจำเครื่องบินเริ่มเดินเครื่องทีละเครื่องๆ เสียงเครื่องยนต์ดังสนั่นหวั่นไหวกลบเสียงโห่ร้องก้องกังวานของประชาชนที่ดังอยู่หมดพอถึง 12 นาฬิกา เราก็ออกเดินทาง มาบินวนอยู่เหนือพระนครสามรอบ ยังมองเห็นประชาชนแหงนดูเครื่องบินทั่วถนนทุกสายในพระนครบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันตกมุ่งตรงไปยังเกาะลังกา (ซีลอน)เสียงเครื่องบินดังสนั่นหนวกหูหากผู้ใดอยากจะพูดก็จะต้องตะโกนออกมาให้สุดเสียงดังนั้น จึงไม่มีใครพูดเลย ทางที่ดีที่สุดที่พึงทำคือ หลับตาเสียแล้วนิ่งคิดที่มา : เปลว สีเงิน 26 กันยายน 2552
http://www.thaipost.net/news/260909/11335จับใจเหลือเกิน ในเวลาที่บ้านเมืองลุกเป็๋นไฟอย่างนี้ไม่รู้ว่า น้องๆวัยรุ่นสมัยนี้ จะมีความจับใจกับเรื่องพวกนี้สักกี่มากน้อยแต่สำหรับแนน เวลาอ่านเรื่องอย่างนี้แล้วน้ำตามันซึมทุกครั้ง วันนี้ เห็นพวกพ้องที่แนวคิดเดียวกัน โมโห อารมย์เสีย กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราก็เข้าใจว่าพรรคพวกรู้สึกอย่างไร เพราะวูบแรกก็ไม่ต่างกันแต่ถ้าเห็นแต่คนร้อนใจ แต่จะดับไฟอย่างไรถ้าใจร้อน ฝากหนึ่งเขาร้อน เจตนาเขาก็คือไม่อยากให้มันสงบ แล้วเราก็ลุกขึ้นฟาดฟันกัน บ้านเมืิิองก็ลุกเป็นไฟ สมใจเขาล่ะสิใครจะทุกข์เท่า นายหลวงของเรา เนื่องจากทั้ง เราและเขาที่ลุกขึ้นฟาดฟันลูกไทย เหมือนกันทั้งนั้นเป็นผสกนิกรในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเช่นกัน ในหลวงจะว่าอย่างไร หากฝ่ายนึงทำร้าย อีกฝ่ายโต้ตอบ เหมือนเห็นลูกฆ่ากัน ท่านจะเสียใจแค่ไหนแล้วเราจะกล้าประกาศตัวเองว่าเรารักในหลวงอีกหรืออย่าละทิ้งท่าน โดยการไม่ละทิ้งแนวทางของท่านพระราชดำรัส "ในหลวง"เคยกล่าวไว้ว่า:ถ้าไม่สามัคคี ก็บอกแล้วว่า ประเทศจะประสบความหายนะ ไม่ได้ใช้คำว่าหายนะ แต่ก็คล้ายกัน ว่าถ้าไม่สามัคคีกัน ไม่ปรองดองกัน ประเทศชาติล้ม ถ้าล้มก็ ผลของการล้มนั้นมีหลายอย่าง ถ้าทางกายก็ร่างกายกระดูกหัก และต้องเข้ารักษา บางทีรักษานานๆ ไม่มีสิ้นสุด ถ้าไม่ระวังประเทศชาติก็ล่มถ้ารักท่านจริงคนที่จากบ้านมาเพราะอะไรก็ตาม กลับบ้านเสียนะคะระบบมันมีของมันอยู่ ท่านอยู่ตรงนี้ ก็ดีแต่ตกเป็นเครื่องมือของคนที่ไม่ต้องการความสงบส่วนคนที่กำลังโมโห คิดว่าจะต้องบุก ต้องจัดการ จะต้องฆ่า จะต้องฟาดฟันกันให้ตายไปข้าง ถ้าเราใช้ความรุนแรงกับเขา แล้วที่เราว่าเขาใช้คว่ามรุนแรงความถ่อย ความความเถื่อน เราต่างจากเขาตรงไหนฝากอีกซักคำ "รักพ่อ อย่าทะเลาะกัน"
วันศุกร์, พฤษภาคม 07, 2553
”ไทยนี้รักสงบ” จริงๆ หรือ”อยากให้รบใจจะขาด”
http://www.oknation.net/blog/vincentoldbook3 )
อ่านเผินๆแล้วเหมือนงานเขียนเชียร์นายก แต่หากลองอ่านอย่างละเอียด ก็จะได้มองเห็นอะไรบางอย่างที่เราอาจมองข้ามไปวันนี้แนนของข้ามประเด็น ฮั้วไม่ฮั้ว ไก่กาหรือไม่
เกินสติปัญญาน้อยนิดนี้จะตอบได้ ถ้าเรื่องนี้จะพูดได้ตามควมรู้สึกเลย
ขอแนะนำให้ไปอ่านของคุณเปลว สีเงิน ณ ไทยโพสท์(
http://www.thaipost.net/news/070510/21878)คือขออนุญาติเชื่อใจผู้นำ เพราะถ้าไม่เชื่อเสียแล้ว เราจะยังไงต่อ
จะให้ไปแข็งข้อเหมือนปีกเหลือง เห็นทีว่า บ้านนี้เมืองนี้คงสงบลงยาก
และเมื่อตกลงกันได้แล้ว ก็ขออัญเชิญพี่น้องที่ราชประสงค์กลับบ้านเสียที
จะฮั้วอะไรกันก็อีกเรื่อง เพราะอย่างที่คุณเปลว
“
"ความจริง" ว่าปัญหาสังคมชาติทุกวันนี้แค่"แผนปรองดอง" ยังใช้แก้อะไรไม่ได้
แต่ช่วยให้ทุกคน-ทุกฝ่าย "ทำใจ" เพื่อผ่อนคลายไประยะหนึ่งเท่านั้น”
มันไม่จบแค่นี้ คนที่พอสนใจการเมืองคงเข้าใจกันอยู่แล้ว
ว่านี่แค่ภาคหนึ่งเท่านั้น(มันไม่ใช่ภาคแรก)
เพราะเรื่องที่เกิดมันมันดำเนินมาเนิ่นนาน ตื่นเต้นบ้างไม่ตื่นเต้นบ้าง
แต่ช่วงก่อนมันหัวใจจะวายเท่านั้นเอง
ดังนั้น หากจะใช้วิธีนี้พักรบ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ
เพราะบางที ลึกๆก็สงสัยว่า . .”ไทยนี้รักสงบ” จริงๆ หรือ”อยากให้รบใจจะขาด”
กันแน่ ยอมรับว่าช่วงแรกๆของการรับข่าวสารนั้น
แนนเลือกข้าง เลือกสี ชัดเจน
หากแต่เมื่อลองทบทวนดูแล้ว สิ่งที่มันแอบแฝงภายใต้ที่เราเลือกกันไว้นั้น
เป็นเรื่องส่วนรวมจริงหรือไม่
อุดมการณ์นั้น มีจริงหรือ
หากลองนึกที่มาที่ไป ของ การเป็นมนุษย์นั้น ที่เราเหนือกว่าสัตว์อื่น
เพราะเรามีสติปัญญา ดังนั้น ทบทวนถึงเหตุถึงผลดู
แน่นอน ยังเชื่ออยู่เสมอว่าคนไทยจำนวนมากไม่ว่าสี
ไหนยังคงมีความจงรักภักดี
ต้องการให้ในหลวงมีความสุข ยังเชื่อว่า
เมื่อวันที่ ๕ ที่ผ่านมา มีคนน้ำตาไหล
สิ่งที่เราจะต้องปกป้องในวันนี้คือสถาบัน
และต้องยอมรับให้ได้ด้วยว่ากระบวนการล้มล้าง/เปลี่ยนแปลงนั้น
“
มีอยู่จริง” และมีในทุกสีเสียด้วยต่างแค่วิธีการเท่านั้น อย่าได้ตั้งอกตั้ใจเชื่อโดยไม่คิด มูลเหตุนั้นมันย่อมมี
ถ้าถามว่าเราทำอะไรได้
ก็คือคิดให้มากในการกลั่นกรอง
เลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่สมเหตุสมผล
มิใช่เลือกจะเชื่อเฉพาะที่อยากเชื่อ
อยากให้มองเห็นว่า ทุกคน เป็นคน
วิธีใดที่จะทำให้สูญเสียน้อยที่สุด ก็ควรจะเลือกสิ่งนั้น
หรือความจริงแล้วเราไม่อยากรักกัน เราอยากทะเลาะกันอย่างนี้ต่อไป
แล้วใครจะได้ประโยชน์
ช่วงเวลานี้ควรเป็นช่วงเวลาแห่งสติ
ไปทบทวนดูว่าสิ่งที่ทำลงไป ทำอะไร ส่งผลอะไร
มีผลดีอะไร จริงหรือไม่
คิดถึงคำที่เราพูดบ่อยๆ รักพ่ออย่าทะเลาะกัน
แล้วทำไมเราหาเรื่องจะทะเลาะกันเรื่อยน้อ
ชอบ คำที่คุณ ริมโขง บอกว่า
“วันนี้ประชาชนควรจะหันกลับมามองสังคมไทยโดยรวม ออกจากท้องถนน
กลับสู่บ้าน ..ให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลังความสามารถของเราในฐ
านะ
"ประชาชน" เพื่อสนับสนุนให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ขึ้นในชาติบ้านเมือง..
การเมืองในอนาคตนับจากนี้ ..จะเป็นการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาล
ไม่ใช่การผูกขาดอำนาจของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
ประชาชนต้องร่วมใจกันตรวจสอบมิให้เกิดอำนาจผูกขาดผ่านการเลือกตั้ง !!!..”
ลองกลับไปคิดดูละกันค่ะ
วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 06, 2553
งานนี้ Lose Lose
ถ้าใครเคยอ่านบันทึกแนน เรื่องถ้าเราถอย เขามาแน่นั้น
คงพอจำได้ว่า อันที่จริงแล้ว นอกจากทางฝ่าขวา(หรือซ้ายวะตอนนี้ชักงงตัวเอง)
เราเองบางคนจะท้อถอดใจว่าแพ้เสียแล้ว ยอมยุบเสียแล้ว
แต่วิเคราะห์กันในมุมของคนที่ความรู้ต่ำแต่จินตนาการสูง
ลองคิดๆกันดู ข้อเรียกร้องของ นปช.
ตั้งแต่เรียกร้องตั้งแต่เริ่มๆเลย คือ ยุบสภา
นี่แหละใช่ไหม ที่พรรคพวกช้ำใจกัน
ก็หวังว่าพี่หล่อจะไม่ยุบ พอพี่หล่อบอกยุบ ก็อ้าวพี่หล่อหลอกตูให้กำลังใจเก้อสิเนี่ย
แต่ถ้าจำตอนเจรจาได้
พี่หล่อบอกขอ ๙ เดือนจะยุบให้ด้าน
นปช. นั่งยัน นอนยัน ตะแคงยัน ว่า ต้องยุบทันที
หลังวันที่ ๑๐ เมษา ก็ยังยืนยันยุบทันที
แถมให้พี่หล่อ ออกนอกประเทศภายใน๒๔ชั่วโมงเสียด้วย
ขนาดก่อนวันที่๓ ก็ยังเป็นยุบทันทีอยู่เลย
แล้วไหงวันนี้กลายไป ๑๔ พฤศจิกาไปเสียล่ะ
ไปคุยกันตอนไหน ตกลงกันตอนไหนหว่า
ไหงนักข่าวไม่รู้
นอกจากเราจะรู้สึกว่าแพ้แล้ว แนนว่า
ทางอีกฝั่งเขาน่าจะรู้สึกรุนแรงกว่า(แนนหมายถึงพวกที่เขายึดอุดมการณ์จริงๆนะ)
เพราะดูเหมือนเขาๆไม่ได้อะไรเลย ข้อเรียกร้องหลักๆ (เอาเท่าที่รู้นะ)มีอะไรบ้าง
๑.ล้มล้างอำนาจอำมาตย์(อันนี้ยังงงอยู่จนทุกวันนี้ว่าไปเอาข้อมูลจากไหนเป็นฉากๆเห็นมีแต่เขาเล่าไอ่เขานั้นเป็นใคร ข่าววงในแจ้ง แล้วไอ่วงในนั่นมันใครแล้วมันในจริงเหรอ แล้วในน่ะในไหม พูดเหมือนไปแอบอยู่ในตู้เสื้อผ้าแล้วเอามาเล่าต่อทีเดียว ผู้ใหญ่ที่นับถือบอก ใครวะผู้ใหญ่นั่น แกนับถือกันเอง หรือฉันนับถือด้วย)
๒.ล้มล้างรัฐบาล
๓.เอาทักกี้กลับประเทศ(ซึ่งอันนี้พรรคพวกไม่เคยยอมรับเล๊ยย)
เอาแค่นี้ก่อน
มีอะไรที่ได้บ้างไหม
นอกจากได้ทำให้ไปราชประสงค์ไม่ได้
พารากอนปิด(เป็นเดือน)
CTW ไม่ต้องพูดถึง และ ศิรพร ต้องมานั่งสนใจข่าวการเมืองแบบจริงจัง(ใครใช้มึงติดตามเนี่ย)
แล้วถ้าพี่หล่อไม่ทำอะไรเลยอะไรจะเกิดขึ้น ลองสมมุติทางเลือกดู
๑.ก็ปล่อยพี่เขาปิด ราชประสงค์ไป พรก.ก็คาอยู่งี๊แหละ พี่น้องทหารเราก็อยู่กันงี๊แหลพะถือปิดเดินไปเดินมาแยกศาลาแดงให้เราไปถ่ายรูปเล่น วันดีคืนดี ชาวสีลมเหลืออดไปเย้วๆ M79ก็ลงอีก๒.ขอพื้นที่คืนเหมือนวันที่๑๐เล๊ยยย โอว แม่เจ้างานนี้ ตายเป็นร้อยคับ ชัวร์ ดีไม่ดีแกนนำหนีได้เหมือนเจ้เพ็ญอีก แล้วใครตาย ทหาร ตำรวจ ประชาชน คุ้มรึเปล่า คนอื่นคิดยังไงไม่รู้ แต่สำหรับแนนไม่คุ้ม
บางคนถาม แล้วชีวิตพี่น้องทหารที่ตายไปล่ะ งี๊ก็ตายเปล่าอ่ะดิ พูดอย่างนี้ถ้าให้พี่หล่อขอพื้นที่คืนอีกที แล้วพี่น้องทหารตายเพิ่มอีก ถึงจะถือว่าคุ้มหรือ ???
ดังนั้น ถ้าเอาส่วนได้เสียมาบวกลบคูณหาร แดงเขาแพ้ มากกว่าเราแพ้นะ สรุปคืองานนี้
Lose Lose(คล้ายๆ WIN WIN) คือแพ้ทั้งคู่เราแพ้น้อยกว่าหน่อย
นาทีนี้กลัวอย่างเดียว คือกลัว พี่หล่อจะซูเอี๋ยกะฝั่งโน้น (ถ้ารูปนี้ชีวิตพี่น้องทหารที่ตายไปก็ตายเปล่าจริงๆล่ะ)ซึ่งกระแสข่าวมันก็มากมายเหลือเกิน ยิ่งจากทัพเหลือง(ถ้าใครเชียร์พี่หล่อ อย่าฟังข่าวเหลืองมากนักนะช่วงนี้อาจขาดใจตายได้) แต่ บางคนแถวนี้ก็น่ารัก บอกให้มั่นใจในตัวผู้นำ
สถานการณ์ตอนนี้เหมือนมีเพื่อนที่ไม่ค่อยชอบแฟนเรา
มาบอกว่าแฟนเรากำลังนอกใจ(55เปรียบไปได้น้อ)
แม้จะไม่เชื่อ แต่ก็ต้องเผื่อใจไว้บาง
ถ้าโดนหักหลังจริง งานนี้พี่หล่อจะงานเข้ายิ่งกว่าทักกี้อีกนะเนี่ย
หญิงแนนคนนึงละไม่ยอม ฮ่ะๆๆ
PS. อ้างอิงซะหน่อยแล้วเสื้อแดงก็แพ้ เพราะ วีระ !!!http://www.facebook.com/photo.php?pid=12422180&id=697240594
PS2. แค่ความคิดเห็นส่วนตัวเน้อ เห็นแย้งก็คุยกันได้ แต่ห้ามชวนทะเลาะ
วันพุธ, พฤษภาคม 05, 2553
ถ้าเราถอย..เขามาแน่
บางคนที่ท้อแท้ในเวลานี้
เตือนสตินิดว่า้เรื่องมันไม่ได้จบลงแค่นี้
ตอนนี้เหมือนกำลังพักยก
โดยที่ทางเขาเอง
ก็ไม่ได้รู้่สึกว่าชนะแต่อย่างใด
ดังนั้น อย่าท้อใจค่ะเราถอยเมื่อไหร่เขามาแน่
อย่าท้อค่ะ
มาช่วยกันคิดดีกว่า เลือกตั้งคราวหน้า
ถ้าเราไม่อยากให้เขากลับมามีอำนาจ
เราจะทำยังไงกัน
ปัญหาซื้อเสียง ตอนนี้ไม่สำคัญเท่าปัญหาความเชื่อ
ปีกว่าๆ มวลชนรากหญ้าที่เคยไม่มีสี
สามารถพูดเรื่องการเมือง
เรื่องสถาบันได้เป็นฉากๆ ราวกับอยู่ในเหตุการณ์
ได้ยินมากับหู ใจหายแว๊บ นี้มันไปขนาดนี้แล้ว
ไม่จำเป็นที่จะให้เขาชอบคนที่เราชอบ แต่ทำอย่างไร
ให้เขาเพิ่มศักยภาพในการใช้วิจารณญาณให้มากขึ้น
ลองช่วยๆแชร์ความคิด
วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการโยนิโส แปลว่า ถูกต้องแยบคาย มนสิการ แปลว่า ทำไว้ในใจ โยนิโสมนสิการหมายถึง การทำไว้ในใจโดยแยบคาย หรือการคิดถูกต้องตามความเป็นจริง โดยอาศัยการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบและคิดเชื่อมโยงตีความข้อมูลเพื่อนำไปใช้ต่อไปโยนิโสมนสิการมีวิธีคิดสรุปได้เป็นสี่แบบด้วยกัน ดังนี้๑.อุปายมนสิการ คือคิดถูกวิธี การศึกษาต้องสอนให้คนมีวิธีคิด วิธีวิจัย และใช้วิธีการนั้นอย่างถูกต้องว่องไว๒.ปถมนสิการ คือคิดมีระเบียบ การศึกษาจะต้องสอนให้คนคิดต่อเนื่องอย่างเป็นระบบ มีระเบียบ ไม่กระโดดไปกระโดดมา คิดอย่างมีเป้าหมาย๓.การณมนสิการ คือคิดมีเหตุผล รู้จักเชื่อมโยงว่าเหตุผลนี้นำไปสู่ผลอะไร หรือผลนี้มาจากเหตุอะไร๔.อุปปาทกมนสิการ คือคิดเป็นกุศล เป็นการคิดเพื่อค้นหาแก่นสารสาระ เมื่อได้รับข้อมูลข่าวสารมากมาย ต้องรู้จักกรองเอาส่วนที่เป็นประโยชน์และเหมาะสมกับเราหนึ่ง คิดอะไรก็ให้มีวิธีคิดสอง ตั้งดวงจิตแน่วแน่ไม่แปรผันสาม ใช้เหตุผลแก้ปัญหาสารพันสี่ ต้องใจมั่นตามครรลองมองแง่ดี
ถ้าเราถอยเมื่อไหร่เขามาแน่นอน
บางคนที่ท้อแท้ในเวลานี้
เตือนสตินิดว่า้เรื่องมันไม่ได้จบลงแค่นี้
ตอนนี้เหมือนกำลังพักยก
โดยที่ทางเขาเอง
ก็ไม่ได้รู้่สึกว่าชนะแต่อย่างใด
ดังนั้น อย่าท้อใจค่ะเราถอยเมื่อไหร่เขามาแน่
อย่าท้อค่ะ
มาช่วยกันคิดดีกว่า เลือกตั้งคราวหน้า
ถ้าเราไม่อยากให้เขากลับมามีอำนาจ
เราจะทำยังไงกัน
ปัญหาซื้อเสียง ตอนนี้ไม่สำคัญเท่าปัญหาความเชื่อ
ปีกว่าๆ มวลชนรากหญ้าที่เคยไม่มีสี
สามารถพูดเรื่องการเมือง
เรื่องสถาบันได้เป็นฉากๆ ราวกับอยู่ในเหตุการณ์
ได้ยินมากับหู ใจหายแว๊บ นี้มันไปขนาดนี้แล้ว
ไม่จำเป็นที่จะให้เขาชอบคนที่เราชอบ แต่ทำอย่างไร
ให้เขาเพิ่มศักยภาพในการใช้วิจารณญาณให้มากขึ้น
ลองช่วยๆแชร์ความคิด
วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการโยนิโส แปลว่า ถูกต้องแยบคาย มนสิการ แปลว่า ทำไว้ในใจ โยนิโสมนสิการหมายถึง การทำไว้ในใจโดยแยบคาย หรือการคิดถูกต้องตามความเป็นจริง โดยอาศัยการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบและคิดเชื่อมโยงตีความข้อมูลเพื่อนำไปใช้ต่อไปโยนิโสมนสิการมีวิธีคิดสรุปได้เป็นสี่แบบด้วยกัน ดังนี้๑.อุปายมนสิการ คือคิดถูกวิธี การศึกษาต้องสอนให้คนมีวิธีคิด วิธีวิจัย และใช้วิธีการนั้นอย่างถูกต้องว่องไว๒.ปถมนสิการ คือคิดมีระเบียบ การศึกษาจะต้องสอนให้คนคิดต่อเนื่องอย่างเป็นระบบ มีระเบียบ ไม่กระโดดไปกระโดดมา คิดอย่างมีเป้าหมาย๓.การณมนสิการ คือคิดมีเหตุผล รู้จักเชื่อมโยงว่าเหตุผลนี้นำไปสู่ผลอะไร หรือผลนี้มาจากเหตุอะไร๔.อุปปาทกมนสิการ คือคิดเป็นกุศล เป็นการคิดเพื่อค้นหาแก่นสารสาระ เมื่อได้รับข้อมูลข่าวสารมากมาย ต้องรู้จักกรองเอาส่วนที่เป็นประโยชน์และเหมาะสมกับเราหนึ่ง คิดอะไรก็ให้มีวิธีคิดสอง ตั้งดวงจิตแน่วแน่ไม่แปรผันสาม ใช้เหตุผลแก้ปัญหาสารพันสี่ ต้องใจมั่นตามครรลองมองแง่ดี
จดหมายจากแม่พลอย ถึงแม่ช้อย
"ช้อย..
ตอนนี้บ้านเมืองเรามองไปทางไหนก็ไม่ปกติ ฉันเองก็พยายามมองให้เห็นเป็นดีเท่าที่จะทำได้
ใจคอไม่เคยคิดโกรธเกลียดเคียดแค้นใครเลย จนเมื่อได้ออกจากแถวเต๊งไป แล้วมีคนมาเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่มีคนพูดถึงในหลวงท่าน.. ในทางที่..ได้ยินแล้วก็สะท้อนใจว่า
คนเรามันเป็นไปได้ถึงขนาดนี้เลยเทียวหรือ
จากวันที่ได้เห็นท่านเสด็จนิวัติพระนครเมื่อครั้งกระโน้น พระองค์เล็กนิดเดียวเอง..
ช้อยจำได้ใช่มั้ยที่เราไปยืนดูกัน ร้อนก็ร้อน คนก็แน่น..
ใครคนนึงร้องขึ้นมาว่า .. "ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน!"
จนถึงตอนนี้ กี่ปีเข้าไปแล้วนะช้อย ที่เราได้เห็นพระองค์ท่านอยู่ท่ามกลางประชาชน..เสมอ..
พระองค์ไม่เคยทิ้งประชาชนของพระองค์ท่านเลย!
แต่..ประชาชนบางกลุ่มบางพวก กำลังทอดทิ้งพระองค์ท่านรึเปล่าช้อย..
ฉันเองเขียนมาแบบนี้ก็เดาได้ว่า ช้อยคงแช่งชักหักกระดูกให้ธรณีสูบไอ้คนกลุ่มนี้อยู่แน่ๆ
เพราะช้อยก็เห็นไม่ต่างและไม่น้อยไปกว่าฉันเลย ถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีกับคนไทยโดยทั่วและโดยตลอด
แต่..ฉันไม่รู้ว่าช้อยจะคิดเหมือนฉันไหม
ที่คิดว่า หากได้ทรงทราบเรื่องคนกลุ่มนี้ พระองค์ท่านก็คงไม่ทรงถือสา กลับจะเมตตาด้วยซ้ำ!
เพราะฉันเชื่อเหลือเกินว่า คนที่ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานได้ขนาดนี้
น้ำพระทัยของพระองค์ท่านที่มีต่อผู้คนนั้นไม่ได้เป็นเหมือนบ่อน้ำบ่อเล็กๆ..
ทว่าเป็นเหมือน มหาสมุทร..
มหาสมุทรที่มองไปสุดลูกหูลูกตาก็ยังไม่เห็นขอบเขตสุดสิ้นของมัน..
ฉันถึงอยากจะบอกช้อยว่า ฉันสะท้อนใจที่ได้ยินความคิดของคนกลุ่มนี้
แต่ก็ไม่เศร้าโศกเสียใจ เกลียดแค้นใดๆกับคนกลุ่มนี้เช่นกัน..
เชื่อว่า คนอย่างพ่อเพิ่ม คุณเปรม ตาอ้น ตาอั้น ตาอ๊อด..
ก็จะคิดและรู้สึกไม่ต่างจากฉัน
ที่ความคิดเหล่านั้น กลับจะทำให้เรารักพระองค์ท่านมากขึ้น
และที่รักนั้น ไม่ได้เป็นรักอย่างบอดเขลา เพราะใครเขาบอกให้รักก็ค่อยรัก
แต่รักเพราะได้รู้ ได้เห็น ในสิ่งที่เกิดจากพระราชจริยวัตรที่พระองค์ท่านมี..ที่พระองค์ท่านเป็นตลอดมา
การที่คนกลุ่มนั้นคิดแบบนั้น.. ก็มีแต่จะทำให้คนอย่างเราๆ..เข้มแข็ง
เพราะ..
มีแต่ความรักที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น ที่ทำให้คนเราเข้มแข็งได้มากขนาดนี้..
ความรักที่ยิ่งใหญ่ จากคนตัวเล็กๆ.. แต่มากมาย.. มากมายเหลือเกินช้อย..
ถ้าช้อยจะถามฉันว่า ความรักที่ยิ่งใหญ่นั้น วัดได้จากอะไรบ้าง..
ฉันเองก็คงตอบช้อยไม่ได้เหมือนกัน แต่นึกเอาเองได้ตอนนี้ว่า
มันก็คงจะคล้ายๆกับภาพที่เห็นเมื่อครั้งที่พระองค์ท่านมีพระชนมายุครบ 80 พรรษา
ที่ใครๆต่างก็มาร้องคำว่า "ทรงพระเจริญ" นั่นเอง
ท้ายนี้ฉันมีเพลงที่รู้ว่าช้อยอยากฟังมาฝาก หายากพอดู
แต่โชคดีที่ฉันพอมีเลยเอามาปันกันได้..
แต่ช้อยอย่าเปิดดังนักนะ ถึงเราไม่คิดแค้นใดๆคนพวกนั้น
แต่เขาคิดอย่างไรนั่นเราก็ไม่รู้! เผลอเปิดดังไป ได้ยินแล้วพาลหงุดหงิดจะมาปิดวิทยุของช้อยซะเปล่าๆ!
พลอย..."
บังเอิญเหลือเกินที่อยู่ๆคิดถึงนิยายเล่มแรกๆที่ได้อ่าน ประจวบกับเป็นวันนี้ วันดี เอามาแบ่งปันค่ะ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=267453