วันอาทิตย์, พฤษภาคม 16, 2553

พี่อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์@รางวัลนาฏราช






พ่อเป็นเสาหลักของบ้านบ้านของผมหลังใหญ่มากเรา
อยู่กันหลายคนผมเกิดมาเราก็อยู่กันอย่างสงบมานานบรรพบุรุษของพ่อ
เสียเหงื่อ เสียเลือดเอาชีวิตเข้าแลก กว่าจะได้บ้านหลังนี้มาจนมา
ถึงวันนี้ พ่อคนนี้ก็ยังเหนื่อยที่จะดูแลบ้านดูแลความสุขของทุกๆ
คนในบ้านถ้ามีใครสักคนโกรธใครมาก็ไม่รู้ไม่ได้ดั่งใจเรื่องอะไรมา
ก็ไม่รู้แต่พาลมาลงที่พ่อ
เกลียดพ่อ
ด่าพ่อคิดจะไล่พ่อออกจากบ้านผม จะเดินไปบอก คนๆ นั้นว่า ถ้าเกลียดพ่อ
ไม่รักพ่อแล้วจงออกไปจากที่นี่ ซะ!
เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อที่นี่คือแผ่นดินของพ่อ ผมรักในหลวงครับและ
ผมก็เชื่อว่าทุกคนก็รักในหลวงเหมือนกัน

ผมเชื่อว่าเรามีสีเดียวกัน ศีรษะนี้เรามอบให้พระเจ้าแผ่นดิน!!
อ๊อฟ พงษ์พัฒน์16/05/2553งานมอบรางวัลนาฏราช 2553:


ถ้าชีวิตของคนไทยตัวเล็กๆ อย่างแนน จะทำอะไรให้เจ้าเหนือหัวได้

แม้่สิ่งนั้นจะเป็นชีวิต หากจะช่วยได้ เอาไปได้เลย ไม่รั้งรอค่ะ

วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 13, 2553

บางทีมันก็เกินจะเข้าใจว่าคิดอะไรกันอยู่

บางทีมันก็เกินจะเข้าใจว่าคิดอะไรกันอยู่
บางทีก็ให้สงสัยว่า สิ่งที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้มันด้อยกว่าคนอื่นเขามากนักหรืออย่างไร

อะไรที่ใฝ่หา เสรีภาพ เงินตรา หรือประชาธิปไตย

เสรีภาพ ในความเป็นมนุษย์ ตอนนี้มันไม่มีอยู่เลยหรือ
เราถูกกดขี่ขนาดนั้นเชียวหรือ
ทำไมบางคนจึงพูดประหนึ่งว่า...
ประเทศนี้มันย่ำแย่เสียเหลือเกิน เพราะเราถูกอำนาจครอบงำ
โดนปิดกั้น เราโดนริดรอนสิทธิ ฯลฯ

หรือทั้งหมดที่คิดนั้น
มาจากการสังเคราะห์ข้อมูลที่เราได้มา
เพราะเขาบอกว่า มันเป็นแผนการของผู้มีอำนาจ ที่ไม่อยากสูญเสียสิ่งที่มี
เพราะ ข่าวเล่าเรื่องลือ ว่า คนนั้นทำอย่างนี้ จึงเป็นอย่างนี้
คนนั้นทำอย่างนั้น จึงเป็นอย่างนั้น ผลเลยออกมาอย่างนี้


ถามสักคำ ข้อความ ข้อมูลที่ได้รับนั้นก่อนเชื่อนั้นได้พิสูจน์แล้วหรือยัง

คนที่บอกเรา เชื่อถือได้มากแค่ไหน
คนที่บอกเรา ไปฟังเขาบอกมาอีกทีหรือเปล่า

เราโดนกระทำจริง หรือเราเชื่อว่าเราโดนกระทำ

แล้วถ้าโดนกระทำจริง ก่อนหน้าที่ทำไมเราถึงไม่ได้รู้สึก

ทำไมพึ่งมารู้สึกว่ามีคนมาบอก

ทำไมถึงเชื่อคำพูดมากกว่าการกระทำ สิ่งที่เห็นจนชินตา

หรือเพราะไม่มีใครออกมาแก้ข่าว เลยเชื่อไปว่า นั่นมันจริง
ลืม...สิ่งที่หลายสิบปีเคยเชื่อเคยรัก เคยเห็นเคยรู้สึก
เพราะเพียงสิ่งที่ฟังข้อมูลที่ได้รับ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สิ่งที่ฟังเรื่องเล่านั้น

เกิดขึ้นจริงหรือไม่

ได้ยินกับหู ได้เห็นกับตา หรือก็เปล่า

เชื่อจริงๆหรือว่าเปลี่ยนแล้วมันจะดีขึ้น
เชื่อจริงๆหรือ ว่าชนชั้นจะหายไป

สำหรับฉัน ฉันเชื่อในสิ่งที่เห็น เชื่อในสิ่งสัมผัส

ในสิ่งที่รู้สึก เชื่อในรากในเหง้า ในสิ่งที่เราเป็น

เชื่อว่า ชาติไทยนั้น แสดงสัญญลักษณ์ ออกมาชัดเจนที่ธง สิ่งที่ทำให้เราคงเป็นไทย คือ

ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์

ผิดไปจากนั้น ฉันถือว่านั่นไม่ใช่เรา

วันอาทิตย์, พฤษภาคม 09, 2553

มีรูปไหนที่ดูแล้วน้ำตาไหลหรือเปล่า





วันนี้เป็นโหมดเรื่องส่วนตัว
จากความอัดอั้นตันใจ กับข้อมูลเท่าหางอึ่งที่เพียรสะสมมา

ช่วงนี้ออกมาทำเรื่องเกี่่ยวกับในหลวง
ถามว่าทำให้ใคร ทำเอาหน้า บ้าเจ้าหรืออย่างไร

ทำเพราะอยากทำ ตอบได้แค่นั้นเอง
อยากจะทำอะไรได้บ้าง แม้จะแค่เศษเสี้ยวก็ตามที
วันนี้จะเล่าเรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับในหลวงสักนิดนึงค่ะ

ค่ำๆวันหนึ่ง ณ หอศิลป์วัฒนธรรม(ศาลากลางเก่า)
เชียงใหม่ เมื่อเฉลิมฉลองครองราชย์ครบ ๖๐ ปี

ฉันได้ไปร่วมลงชื่อถวายพระพร พร้อมชมนิทรรศการ
เป็นครั้งแรกที่เห็นรูปนี้
ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวชิ้นต้นๆ

ทูลกระหม่อม ๔ พระองค์
ทรงวางพระหัตถ์ขวาเรียงเทียบขนาดกันไว้
ทรงฉายภาพ
“พระหัตถ์ใหญ่พระหัตถ์เล็ก”
ที่ทรงวางเรียงลำดับไว้
เสมือนเป็นการทรงสมานสามัคคีระหว่าง
"ครอบครัว"


น้ำตาไหล ไม่รู้ตัว
บอกกับเพื่อนที่ไปด้วยข้างๆว่า

"ดูสิท่านรักกันขนาดนี้ ใครนะใครมาว่าท่านได้"

หลายเรื่องที่เราได้ยิน
กับสิ่งที่เราสัมผัสได้ด้วยใจ
ไม่ต้่องมีใครมาสั่งสอนให้ฉันพระเจ้าอยู่หัว
แต่ฉันก็รัก

เคยถามแม่ว่า ทำไมเด็กเดี๋ยวนี้เขาถึงไม่ค่อยรักในหลวงกัน
แม่บอกว่าเขาไม่ทันเห็น ว่าในหลวงท่านทำอะไรบ้าง
เขาอาจไม่เคยได้ดูข่าวพระราชสำนัก
เพราะทำอย่างอื่นอยู่

แต่แม่ฉันก็ไม่เคยสอนให้ฉันรักในหลวง

แต่ฉันรู้...ว่าไทยเรานี้
มีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
เป็นสถาบันหลักของชาติ

ไม่ใช่วัตถุกราบไว้

แต่ตามเพลงว่าไว้ ท่านคือเทวดาที่ยังมีลมหายใจ

แฟนกัน พิสูจน์ใจกันไม่ดี่ปี เรายังยอมรับได้ว่าเขาเป็นคนดี


แต่นี่หกสิบปีที่ท่านทำความดีกับคนไทยมาตลอด

ทำไมไม่พอให้บางคนรัก

ฉันเชื่อของฉัน และ ฉันรักในหลวงจับใจ

ขอเป็นคนเป็นมีเจ้าบ่าวมีนายไปอย่างนี้

ดีกว่าเป็นเสรีชนแต่ลืมราก

วันเสาร์, พฤษภาคม 08, 2553

"ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร"


ท่านผู้หญิงเกนหลง เขียนไว้ในหนังสือ
"ทำเป็นธรรม" ขณะเสด็จฯ ออกจากประเทศไทยไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีประชาชนส่งเสด็จจำนวนมาก ดังนี้

ท่ามกลางเสียงโห่ร้องถวายพระพร ระหว่างที่รถพระที่นั่งแล่นผ่าน ฝูงชนส่งเสด็จเดินทางจากสยามประเทศเพื่อไปศึกษาต่อ ณ สวิตเซอร์แลนด์
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2489 ได้มีเสียงหนึ่งตะโกนแทรกมาเข้าพระกรรณว่า
"ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน" ในขณะนั้น ทรงนึกตอบในพระทัยว่า
"ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร"
ภาพนี้ยังคงติดอยู่ในพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หั
ว จนมิอาจลืมเลือนได้ตราบถึงปัจจุบัน เพราะทรงตระหนักว่า
ทรงมีหน้าที่เพื่อชาติ ถึงโอกาสที่ควรจะทรงทำหน้าที่เพื่อชาติและประชาชน
ตามที่ประชาชนพร้อมใจกันทูลเกล้าฯ ถวายพระราชภาระอันยิ่งใหญ่

และเพื่อเป็นการผ่อนคลายความเศร้า
ความเสียขวัญของพสกนิกรชาวไทย ซึ่งเพิ่งผ่านการสูญเสียครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์
ระหว่างนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชนิพนธ์บันทึกประจำวัน
"เมื่อ ข้าพเจ้าจากสยาม สู่สวิตเซอร์แลนด์"
พระราชทานแก่หนังสือวงวรรณคดีไทย
เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกซาบซึ้งพระราชหฤทัยถึงน้ำใจของ
ประชาชนที่พร้อมใจกันมาส่งเสด็จอย่างมืดฟ้ามัวดิน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มบท
พระราชนิพนธ์ว่า...

"วงวรรณคดี" ได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องเล็กน้อยที่ถนัดมาลงในหนังสือนี้นานมาแล้ว
อันที่จริงข้าพเจ้าก็ไม่ใช่นักประพันธ์ เมื่ออยู่โรงเรียน
เรียงความและแต่งเรื่องก็ทำไม่ได้ดีนัก...ฉะนั้น
จึงตกลงใจส่งบันทึกประจำวันที่เขียนไว้ก่อนและระหว่างวันเดินทาง
จากสยามสู่สวิตเซอร์แลนด์มาให้

และในโอกาสนี้จึงขอขอบใจเป็นการส่วนตัวต่อ ทุกๆ คน
ที่มาถวายความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชของข้าพเจ้า
ณ พระมหาปราสาท ตลอดจนความปรารถนาดี ที่มีต่อตัวข้าพเจ้าเอง
กับขอขอบใจเหล่าทหารและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการ
ด้วยความจงรักภักดีต่อเราทั้งสองด้วย

วั
นที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2489
- อีกสามวันเท่านั้น เราก็จะต้องจากไปแล้ว
ฉะนั้น จึงตั้งใจจะไปนมัสการพระพุทธชินสีห์ ที่วัดบวรนิเวศวิหาร
รวมทั้งสมเด็จพระสังฆราชด้วย ยืนรออยู่บ้าง แต่ไม่สู้มากนัก
เข้าไปในพระอุโบสถ จุดเทียนนมัสการ ฯลฯ...แล้วได้มีโอกาสทูลปฏิสันถารกับสมเด็จพระสังฆราช
ทรงนำพระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์สูงมาให้รู้จัก
โดยปกติได้เคยเห็นท่านเหล่านี้มาจนชินแล้ว
ทรงนำขึ้นไปนมัสการพระสถูป บนนั้นมีพระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งประดิษฐานอยู่
ชื่อพระไพรีพินาศ พระองค์นี้เคยทรงเล่าประวัติมาก่อนหน้านี้แล้วหลายวั
น หลังจากนั้นก็นมัสการลา

ตอนนี้มีราษฎรชุมนุมกันหนาตาขึ้น ต่างก็ยัดเยียดเบียดเสียดกันจนรู้สึกเกรงไปว่ารถที่นั่งมาจะทับเอาใครเข้าบ้าง ช่างเคราะห์ดีแท้ๆ ที่ไม่มีอันตรายอันใดเกิด ขึ้นแก่ประชาชนที่มานั้นเลย ในหมู่ประชาชนที่มารอกันอยู่วันนี้ จำได้ว่ามีบางคนเคยเห็นที่พระมหาปราสาทเป็นประจำมิได้ขาด ไม่รู้ว่าหาเวลามาจากไหน จึงไปที่พระมหาปราสาทได้เสมอเกือบทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และวันอาทิตย์ พวกนี้ก็มาที่วัดนี้ด้วยเหมือนกัน

วันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2489
- เก็บของลงหีบและเตรียมตัว...

วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2489
- เราต้องจากไปในวันพรุ่งนี้แล้ว! อะไรๆ ก็จัดเสร็จหมด
หมายกำหนดการก็มีอยู่พร้อม...บ่ายวันนี้เราไป
ถวายบังคมพระบรมอัฐิของพระบรมราชบุพการีของเรา
ทั้งสมเด็จพระมหากษัตริย์ และสมเด็จพระบรมราชินีในรัชกาลก่อนๆ
แล้วก็ไปถวายบังคมลาพระบรมศพ เราต้องทูลลาให้เสร็จในวันนี้
และไม่ใช่พรุ่งนี้ตามที่ได้กะไว้แต่เดิม เพื่อจะรีบไม่ให้ชักช้า เพราะพรุ่งนี้จะได้มีเวลาแล่นรถช้าๆ
ให้ราษฎรเห็นหน้ากันโดยทั่วถึง

เมื่อออกจากพระที่นั่งไพศาลทักษิณมายังพระที่นั่งอมรินทร-วินิจฉัย
ผู้คนอะไรช่างมากมายเช่นนั้น! เมื่อวานนี้เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาถามว่า
จะอนุญาตให้ประชาชนเข้ามาหรือไม่ ในขณะที่ไปถวายบังคมพระบรมศพ
ตอบเขาว่า "ให้เข้ามาซิ" เพราะเหตุว่า วันอาทิตย์เป็นวันสำหรับประชาชน
เป็นวันของเขา จะไปห้ามเสียกระไรได้ และยิ่งกว่านั้น
ยังเป็นวันสุดท้ายก่อนที่เราจะจากบ้านเมืองไปด้วย
ข้าพเจ้าอยากจะแลเห็นราษฎร เพราะกว่าจะได้กลับมาเห็นเช่นนี้ก็คงอีกนานมาก.
วันนี้พวกทหารรักษาการณ์กันอย่างเต็มที่
เพื่อกันทางไว้ให้รถแล่นได้สะดวกไม่เหมือนเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่มากันคน

วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2489
- วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว!
พอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่ง
ชั้นล่างนั้น แล้วก็ไปยังวัดพระแก้ว เพื่อนมัสการลาพระแก้วมรกต และพระภิกษุสงฆ์
ลาเจ้านายฝ่ายหน้า ลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์

พอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึง 200 เมตร มีหญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถ
แล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบ ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น
บางทีจะเกิดเป็นลูกระเบิด! เมื่อมาเปิดดูภายหลัง ปรากฏว่าเป็นทอฟฟี่ที่อร่อยมาก
ตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลาง
ราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเข้าบ้าง
รถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด ถึงวัดเบญจมบพิตรรถแล่นเร็วขึ้นได้บ้าง
ตามทางที่ผ่านมา ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆ ว่า
"อย่าละทิ้งประชาชน"
อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า
ถ้าประชาชนไม่ "ทิ้ง" ข้าพเจ้า แล้ว ข้าพเจ้าจะ "ละทิ้ง"
อย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว

เมื่อมาถึงดอนเมือง เห็นนิสิตมหาวิทยาลัยผู้จงใจมาเพื่อส่งเราให้ถึงที่
ได้รับของที่ระลึก เป็นรูปเครื่องหมายของมหาวิทยาลัย 11.45 นาฬิกาแล้ว
มีเวลาเหลืออีกเล็กน้อยสำหรับเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ที่สโมสรนายทหาร
ต่อจากนั้นก็ไปขึ้นเครื่องบิน เดินฝ่าฝูงคน ซึ่งเฝ้าดูเราอยู่จนวาระสุดท้าย


เมื่อขึ้นมาอยู่บนเครื่องบินแล้วก็ยังมองเห็นราษฎร
ได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องอวยชัยให้พร
แต่เมื่อคนประจำเครื่องบินเริ่มเดินเครื่องทีละเครื่องๆ เสียงเครื่องยนต์ดังสนั่นหวั่นไหว
กลบเสียงโห่ร้องก้องกังวานของประชาชนที่ดังอยู่หมด
พอถึง 12 นาฬิกา เราก็ออกเดินทาง มาบินวนอยู่เหนือพระนคร
สามรอบ ยังมองเห็นประชาชนแหงนดูเครื่องบินทั่ว
ถนนทุกสายในพระนครบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันตกมุ่งตรงไปยังเกาะลังกา (ซีลอน)
เสียงเครื่องบินดังสนั่นหนวกหู
หากผู้ใดอยากจะพูดก็จะต้องตะโกนออกมาให้สุดเสียง
ดังนั้น จึงไม่มีใครพูดเลย ทางที่ดีที่สุดที่พึงทำคือ หลับตาเสียแล้วนิ่งคิด

ที่มา : เปลว สีเงิน 26 กันยายน 2552
http://www.thaipost.net/news/260909/11335

จับใจเหลือเกิน ในเวลาที่บ้านเมืองลุกเป็๋นไฟอย่างนี้
ไม่รู้ว่า น้องๆวัยรุ่นสมัยนี้ จะมีความจับใจกับเรื่องพวกนี้สักกี่มากน้อย

แต่สำหรับแนน เวลาอ่านเรื่องอย่างนี้แล้วน้ำตามันซึมทุกครั้ง วันนี้ เห็นพวกพ้องที่แนวคิดเดียวกัน โมโห อารมย์เสีย กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราก็เข้าใจ
ว่าพรรคพวกรู้สึกอย่างไร เพราะวูบแรกก็ไม่ต่างกัน

แต่ถ้าเห็นแต่คนร้อนใจ แต่จะดับไฟอย่างไรถ้าใจร้อน ฝากหนึ่งเขาร้อน เจตนาเขาก็คือไม่อยากให้มันสงบ แล้วเราก็ลุกขึ้นฟาดฟันกัน บ้านเมืิิองก็ลุกเป็นไฟ สมใจเขาล่ะสิ

ใครจะทุกข์เท่า นายหลวงของเรา เนื่องจากทั้ง เราและเขาที่ลุกขึ้นฟาดฟัน
ลูกไทย เหมือนกันทั้งนั้นเป็นผสกนิกรในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเช่นกัน ในหลวงจะว่าอย่างไร หากฝ่ายนึงทำร้าย อีกฝ่ายโต้ตอบ เหมือนเห็นลูกฆ่ากัน ท่านจะเสียใจแค่ไหน

แล้วเราจะกล้าประกาศตัวเองว่าเรารักในหลวงอีกหรือ
อย่าละทิ้งท่าน โดยการไม่ละทิ้งแนวทางของท่าน

พระราชดำรัส "ในหลวง"เคยกล่าวไว้ว่า:ถ้าไม่สามัคคี ก็บอกแล้วว่า ประเทศจะประสบความหายนะ ไม่ได้ใช้คำว่าหายนะ แต่ก็คล้ายกัน ว่าถ้าไม่สามัคคีกัน ไม่ปรองดองกัน ประเทศชาติล้ม ถ้าล้มก็ ผลของการล้มนั้นมีหลายอย่าง ถ้าทางกายก็ร่างกายกระดูกหัก และต้องเข้ารักษา บางทีรักษานานๆ ไม่มีสิ้นสุด ถ้าไม่ระวังประเทศชาติก็ล่ม


ถ้ารักท่านจริงคนที่จากบ้านมาเพราะอะไรก็ตาม กลับบ้านเสียนะคะ
ระบบมันมีของมันอยู่ ท่านอยู่ตรงนี้ ก็ดีแต่ตกเป็นเครื่องมือของคนที่ไม่ต้องการความสงบ

ส่วนคนที่กำลังโมโห คิดว่าจะต้องบุก ต้องจัดการ จะต้องฆ่า จะต้องฟาดฟันกันให้ตายไปข้าง ถ้าเราใช้ความรุนแรงกับเขา แล้วที่เราว่าเขาใช้คว่ามรุนแรงความถ่อย ความความเถื่อน เราต่างจากเขาตรงไหน

ฝากอีกซักคำ "รักพ่อ อย่าทะเลาะกัน"

วันศุกร์, พฤษภาคม 07, 2553

”ไทยนี้รักสงบ” จริงๆ หรือ”อยากให้รบใจจะขาด”

       วันนี้ หลายๆคนคงได้อ่านข้อเขียนของ คุณ ริมโขง หนองคาย ณ.บล๊อคเนชั่น(

http://www.oknation.net/blog/vincentoldbook3 )

อ่านเผินๆแล้วเหมือนงานเขียนเชียร์นายก แต่หากลองอ่านอย่างละเอียด ก็จะได้มองเห็นอะไรบางอย่างที่เราอาจมองข้ามไปวันนี้แนนของข้ามประเด็น ฮั้วไม่ฮั้ว ไก่กาหรือไม่

เกินสติปัญญาน้อยนิดนี้จะตอบได้ ถ้าเรื่องนี้จะพูดได้ตามควมรู้สึกเลย

ขอแนะนำให้ไปอ่านของคุณเปลว สีเงิน  ณ ไทยโพสท์(

http://www.thaipost.net/news/070510/21878)คือขออนุญาติเชื่อใจผู้นำ เพราะถ้าไม่เชื่อเสียแล้ว เราจะยังไงต่อ

 จะให้ไปแข็งข้อเหมือนปีกเหลือง เห็นทีว่า บ้านนี้เมืองนี้คงสงบลงยาก

 และเมื่อตกลงกันได้แล้ว ก็ขออัญเชิญพี่น้องที่ราชประสงค์กลับบ้านเสียที

จะฮั้วอะไรกันก็อีกเรื่อง เพราะอย่างที่คุณเปลว



"ความจริง" ว่าปัญหาสังคมชาติทุกวันนี้แค่"แผนปรองดอง" ยังใช้แก้อะไรไม่ได้

แต่ช่วยให้ทุกคน-ทุกฝ่าย "ทำใจ" เพื่อผ่อนคลายไประยะหนึ่งเท่านั้น”

         

       มันไม่จบแค่นี้ คนที่พอสนใจการเมืองคงเข้าใจกันอยู่แล้ว

ว่านี่แค่ภาคหนึ่งเท่านั้น(มันไม่ใช่ภาคแรก)

เพราะเรื่องที่เกิดมันมันดำเนินมาเนิ่นนาน ตื่นเต้นบ้างไม่ตื่นเต้นบ้าง

 แต่ช่วงก่อนมันหัวใจจะวายเท่านั้นเอง

ดังนั้น หากจะใช้วิธีนี้พักรบ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ

 

เพราะบางที ลึกๆก็สงสัยว่า . .”ไทยนี้รักสงบ” จริงๆ หรือ”อยากให้รบใจจะขาด”

กันแน่ ยอมรับว่าช่วงแรกๆของการรับข่าวสารนั้น

แนนเลือกข้าง เลือกสี ชัดเจน

หากแต่เมื่อลองทบทวนดูแล้ว สิ่งที่มันแอบแฝงภายใต้ที่เราเลือกกันไว้นั้น

เป็นเรื่องส่วนรวมจริงหรือไม่

อุดมการณ์นั้น มีจริงหรือ

หากลองนึกที่มาที่ไป ของ การเป็นมนุษย์นั้น ที่เราเหนือกว่าสัตว์อื่น

เพราะเรามีสติปัญญา ดังนั้น ทบทวนถึงเหตุถึงผลดู

 

 

  แน่นอน ยังเชื่ออยู่เสมอว่าคนไทยจำนวนมากไม่ว่าสี

ไหนยังคงมีความจงรักภักดี

ต้องการให้ในหลวงมีความสุข ยังเชื่อว่า

เมื่อวันที่ ๕ ที่ผ่านมา มีคนน้ำตาไหล

สิ่งที่เราจะต้องปกป้องในวันนี้คือสถาบัน

และต้องยอมรับให้ได้ด้วยว่ากระบวนการล้มล้าง/เปลี่ยนแปลงนั้น



มีอยู่จริง”  และมีในทุกสีเสียด้วยต่างแค่วิธีการเท่านั้น อย่าได้ตั้งอกตั้ใจเชื่อโดยไม่คิด มูลเหตุนั้นมันย่อมมี

 

 

ถ้าถามว่าเราทำอะไรได้

ก็คือคิดให้มากในการกลั่นกรอง

เลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่สมเหตุสมผล

มิใช่เลือกจะเชื่อเฉพาะที่อยากเชื่อ

อยากให้มองเห็นว่า ทุกคน เป็นคน

วิธีใดที่จะทำให้สูญเสียน้อยที่สุด ก็ควรจะเลือกสิ่งนั้น

 

หรือความจริงแล้วเราไม่อยากรักกัน เราอยากทะเลาะกันอย่างนี้ต่อไป

 

แล้วใครจะได้ประโยชน์

 

ช่วงเวลานี้ควรเป็นช่วงเวลาแห่งสติ

ไปทบทวนดูว่าสิ่งที่ทำลงไป ทำอะไร ส่งผลอะไร

มีผลดีอะไร จริงหรือไม่

 

คิดถึงคำที่เราพูดบ่อยๆ รักพ่ออย่าทะเลาะกัน

แล้วทำไมเราหาเรื่องจะทะเลาะกันเรื่อยน้อ

 

 

ชอบ คำที่คุณ ริมโขง  บอกว่า

“วันนี้ประชาชนควรจะหันกลับมามองสังคมไทยโดยรวม ออกจากท้องถนน

กลับสู่บ้าน ..ให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลังความสามารถของเราในฐ

านะ

"ประชาชน" เพื่อสนับสนุนให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ขึ้นในชาติบ้านเมือง..

       การเมืองในอนาคตนับจากนี้ ..จะเป็นการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาล

ไม่ใช่การผูกขาดอำนาจของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

ประชาชนต้องร่วมใจกันตรวจสอบมิให้เกิดอำนาจผูกขาดผ่านการเลือกตั้ง !!!..”

  

ลองกลับไปคิดดูละกันค่ะ

วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 06, 2553

งานนี้ Lose Lose

งานนี้ Lose Lose...

 

ถ้าใครเคยอ่านบันทึกแนน เรื่องถ้าเราถอย เขามาแน่นั้น

คงพอจำได้ว่า อันที่จริงแล้ว นอกจากทางฝ่าขวา(หรือซ้ายวะตอนนี้ชักงงตัวเอง)

เราเองบางคนจะท้อถอดใจว่าแพ้เสียแล้ว ยอมยุบเสียแล้ว

แต่วิเคราะห์กันในมุมของคนที่ความรู้ต่ำแต่จินตนาการสูง

ลองคิดๆกันดู ข้อเรียกร้องของ นปช.

 ตั้งแต่เรียกร้องตั้งแต่เริ่มๆเลย คือ ยุบสภา

นี่แหละใช่ไหม ที่พรรคพวกช้ำใจกัน

ก็หวังว่าพี่หล่อจะไม่ยุบ พอพี่หล่อบอกยุบ ก็อ้าวพี่หล่อหลอกตูให้กำลังใจเก้อสิเนี่ย

 

แต่ถ้าจำตอนเจรจาได้

 พี่หล่อบอกขอ ๙ เดือนจะยุบให้ด้าน

 นปช. นั่งยัน นอนยัน ตะแคงยัน ว่า ต้องยุบทันที

 

หลังวันที่ ๑๐ เมษา ก็ยังยืนยันยุบทันที

แถมให้พี่หล่อ ออกนอกประเทศภายใน๒๔ชั่วโมงเสียด้วย

 

ขนาดก่อนวันที่๓ ก็ยังเป็นยุบทันทีอยู่เลย

 

แล้วไหงวันนี้กลายไป ๑๔ พฤศจิกาไปเสียล่ะ

ไปคุยกันตอนไหน ตกลงกันตอนไหนหว่า

ไหงนักข่าวไม่รู้

 

นอกจากเราจะรู้สึกว่าแพ้แล้ว แนนว่า

 ทางอีกฝั่งเขาน่าจะรู้สึกรุนแรงกว่า(แนนหมายถึงพวกที่เขายึดอุดมการณ์จริงๆนะ)

เพราะดูเหมือนเขาๆไม่ได้อะไรเลย ข้อเรียกร้องหลักๆ (เอาเท่าที่รู้นะ)มีอะไรบ้าง

 

๑.ล้มล้างอำนาจอำมาตย์(อันนี้ยังงงอยู่จนทุกวันนี้ว่าไปเอาข้อมูลจากไหนเป็นฉากๆเห็นมีแต่เขาเล่าไอ่เขานั้นเป็นใคร ข่าววงในแจ้ง แล้วไอ่วงในนั่นมันใครแล้วมันในจริงเหรอ แล้วในน่ะในไหม พูดเหมือนไปแอบอยู่ในตู้เสื้อผ้าแล้วเอามาเล่าต่อทีเดียว ผู้ใหญ่ที่นับถือบอก ใครวะผู้ใหญ่นั่น แกนับถือกันเอง หรือฉันนับถือด้วย)

 

๒.ล้มล้างรัฐบาล

 

๓.เอาทักกี้กลับประเทศ(ซึ่งอันนี้พรรคพวกไม่เคยยอมรับเล๊ยย)

 

เอาแค่นี้ก่อน

มีอะไรที่ได้บ้างไหม

 นอกจากได้ทำให้ไปราชประสงค์ไม่ได้

พารากอนปิด(เป็นเดือน)

 CTW ไม่ต้องพูดถึง  และ ศิรพร ต้องมานั่งสนใจข่าวการเมืองแบบจริงจัง(ใครใช้มึงติดตามเนี่ย)

แล้วถ้าพี่หล่อไม่ทำอะไรเลยอะไรจะเกิดขึ้น ลองสมมุติทางเลือกดู

๑.ก็ปล่อยพี่เขาปิด ราชประสงค์ไป พรก.ก็คาอยู่งี๊แหละ พี่น้องทหารเราก็อยู่กันงี๊แหลพะถือปิดเดินไปเดินมาแยกศาลาแดงให้เราไปถ่ายรูปเล่น วันดีคืนดี ชาวสีลมเหลืออดไปเย้วๆ M79ก็ลงอีก๒.ขอพื้นที่คืนเหมือนวันที่๑๐เล๊ยยย โอว แม่เจ้างานนี้ ตายเป็นร้อยคับ ชัวร์ ดีไม่ดีแกนนำหนีได้เหมือนเจ้เพ็ญอีก แล้วใครตาย ทหาร ตำรวจ ประชาชน คุ้มรึเปล่า คนอื่นคิดยังไงไม่รู้ แต่สำหรับแนนไม่คุ้ม

 

บางคนถาม แล้วชีวิตพี่น้องทหารที่ตายไปล่ะ งี๊ก็ตายเปล่าอ่ะดิ พูดอย่างนี้ถ้าให้พี่หล่อขอพื้นที่คืนอีกที แล้วพี่น้องทหารตายเพิ่มอีก ถึงจะถือว่าคุ้มหรือ ??? 

ดังนั้น ถ้าเอาส่วนได้เสียมาบวกลบคูณหาร แดงเขาแพ้ มากกว่าเราแพ้นะ สรุปคืองานนี้

Lose Lose(คล้ายๆ WIN WIN) คือแพ้ทั้งคู่เราแพ้น้อยกว่าหน่อย 

 

นาทีนี้กลัวอย่างเดียว คือกลัว พี่หล่อจะซูเอี๋ยกะฝั่งโน้น (ถ้ารูปนี้ชีวิตพี่น้องทหารที่ตายไปก็ตายเปล่าจริงๆล่ะ)ซึ่งกระแสข่าวมันก็มากมายเหลือเกิน ยิ่งจากทัพเหลือง(ถ้าใครเชียร์พี่หล่อ อย่าฟังข่าวเหลืองมากนักนะช่วงนี้อาจขาดใจตายได้) แต่ บางคนแถวนี้ก็น่ารัก บอกให้มั่นใจในตัวผู้นำ

 

สถานการณ์ตอนนี้เหมือนมีเพื่อนที่ไม่ค่อยชอบแฟนเรา

 มาบอกว่าแฟนเรากำลังนอกใจ(55เปรียบไปได้น้อ) 

แม้จะไม่เชื่อ แต่ก็ต้องเผื่อใจไว้บาง

 

ถ้าโดนหักหลังจริง งานนี้พี่หล่อจะงานเข้ายิ่งกว่าทักกี้อีกนะเนี่ย

 

หญิงแนนคนนึงละไม่ยอม ฮ่ะๆๆ

 

PS. อ้างอิงซะหน่อยแล้วเสื้อแดงก็แพ้ เพราะ วีระ !!!http://www.facebook.com/photo.php?pid=12422180&id=697240594 

PS2. แค่ความคิดเห็นส่วนตัวเน้อ เห็นแย้งก็คุยกันได้ แต่ห้ามชวนทะเลาะ          

 

 

วันพุธ, พฤษภาคม 05, 2553

ถ้าเราถอย..เขามาแน่


บางคนที่ท้อแท้ในเวลานี้
เตือนสตินิดว่า้เรื่องมันไม่ได้จบลงแค่นี้
ตอนนี้เหมือนกำลังพักยก
โดยที่ทางเขาเอง
ก็ไม่ได้รู้่สึกว่าชนะแต่อย่างใด
ดังนั้น อย่าท้อใจค่ะเราถอยเมื่อไหร่เขามาแน่
อย่าท้อค่ะ
มาช่วยกันคิดดีกว่า เลือกตั้งคราวหน้า

ถ้าเราไม่อยากให้เขากลับมามีอำนาจ
เราจะทำยังไงกัน

ปัญหาซื้อเสียง ตอนนี้ไม่สำคัญเท่าปัญหาความเชื่อ
ปีกว่าๆ มวลชนรากหญ้าที่เคยไม่มีสี
สามารถพูดเรื่องการเมือง
เรื่องสถาบันได้เป็นฉากๆ ราวกับอยู่ในเหตุการณ์

ได้ยินมากับหู ใจหายแว๊บ นี้มันไปขนาดนี้แล้ว

ไม่จำเป็นที่จะให้เขาชอบคนที่เราชอบ แต่ทำอย่างไร
ให้เขาเพิ่มศักยภาพในการใช้วิจารณญาณให้มากขึ้น

ลองช่วยๆแชร์ความคิด
อย่างน้อยๆสำหรับคนที่เคยรักในหลวงมาก่ิอน
แล้วมาเข้าในใจผิดเพราะข่าวปล่อย
ซึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริง
มีเพียงเขาว่า...โดยไม่เคยรู้ว่าเขามันเป็นใคร
แนนจะลองแนะนำวิธีคิดง่ายๆ(จำเขามา แต่ใช้ไ้ด้ดี)

วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ
โยนิโส แปลว่า ถูกต้องแยบคาย มนสิการ แปลว่า ทำไว้ในใจ โยนิโสมนสิการหมายถึง การทำไว้ในใจโดยแยบคาย หรือการคิดถูกต้องตามความเป็นจริง โดยอาศัยการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบและคิดเชื่อมโยงตีความข้อมูลเพื่อนำไปใช้ต่อไป

โยนิโสมนสิการมีวิธีคิดสรุปได้เป็นสี่แบบด้วยกัน ดังนี้

๑.อุปายมนสิการ คือคิดถูกวิธี การศึกษาต้องสอนให้คนมีวิธีคิด วิธีวิจัย และใช้วิธีการนั้นอย่างถูกต้องว่องไว

๒.ปถมนสิการ คือคิดมีระเบียบ การศึกษาจะต้องสอนให้คนคิดต่อเนื่องอย่างเป็นระบบ มีระเบียบ ไม่กระโดดไปกระโดดมา คิดอย่างมีเป้าหมาย

๓.การณมนสิการ คือคิดมีเหตุผล รู้จักเชื่อมโยงว่าเหตุผลนี้นำไปสู่ผลอะไร หรือผลนี้มาจากเหตุอะไร

๔.อุปปาทกมนสิการ คือคิดเป็นกุศล เป็นการคิดเพื่อค้นหาแก่นสารสาระ เมื่อได้รับข้อมูลข่าวสารมากมาย ต้องรู้จักกรองเอาส่วนที่เป็นประโยชน์และเหมาะสมกับเรา

หนึ่ง คิดอะไรก็ให้มีวิธีคิด
สอง ตั้งดวงจิตแน่วแน่ไม่แปรผัน
สาม ใช้เหตุผลแก้ปัญหาสารพัน
สี่ ต้องใจมั่นตามครรลองมองแง่ดี


ตามต่อได้ที่




เน้นว่าไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนเรา
อย่าลืม ...ถ้าเราถอยเมื่อไหร่เขามาแน่นอน
เขารอเวลาเราท้อใจอยู่

PSช่วยกระจายได้จะดี งานนี้เพื่อสถาบัน(ไม่อยากอ้างคำนี้เลย)แต่เพื่อความเข้าใจ ที่ถูกต้องค่

ถ้าเราถอยเมื่อไหร่เขามาแน่นอน


บางคนที่ท้อแท้ในเวลานี้
เตือนสตินิดว่า้เรื่องมันไม่ได้จบลงแค่นี้
ตอนนี้เหมือนกำลังพักยก
โดยที่ทางเขาเอง
ก็ไม่ได้รู้่สึกว่าชนะแต่อย่างใด
ดังนั้น อย่าท้อใจค่ะเราถอยเมื่อไหร่เขามาแน่
อย่าท้อค่ะ
มาช่วยกันคิดดีกว่า เลือกตั้งคราวหน้า

ถ้าเราไม่อยากให้เขากลับมามีอำนาจ
เราจะทำยังไงกัน

ปัญหาซื้อเสียง ตอนนี้ไม่สำคัญเท่าปัญหาความเชื่อ
ปีกว่าๆ มวลชนรากหญ้าที่เคยไม่มีสี
สามารถพูดเรื่องการเมือง
เรื่องสถาบันได้เป็นฉากๆ ราวกับอยู่ในเหตุการณ์

ได้ยินมากับหู ใจหายแว๊บ นี้มันไปขนาดนี้แล้ว

ไม่จำเป็นที่จะให้เขาชอบคนที่เราชอบ แต่ทำอย่างไร
ให้เขาเพิ่มศักยภาพในการใช้วิจารณญาณให้มากขึ้น

ลองช่วยๆแชร์ความคิด
อย่างน้อยๆสำหรับคนที่เคยรักในหลวงมาก่ิอน
แล้วมาเข้าในใจผิดเพราะข่าวปล่อย
ซึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริง
มีเพียงเขาว่า...โดยไม่เคยรู้ว่าเขามันเป็นใคร
แนนจะลองแนะนำวิธีคิดง่ายๆ(จำเขามา แต่ใช้ไ้ด้ดี)

วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ
โยนิโส แปลว่า ถูกต้องแยบคาย มนสิการ แปลว่า ทำไว้ในใจ โยนิโสมนสิการหมายถึง การทำไว้ในใจโดยแยบคาย หรือการคิดถูกต้องตามความเป็นจริง โดยอาศัยการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบและคิดเชื่อมโยงตีความข้อมูลเพื่อนำไปใช้ต่อไป

โยนิโสมนสิการมีวิธีคิดสรุปได้เป็นสี่แบบด้วยกัน ดังนี้

๑.อุปายมนสิการ คือคิดถูกวิธี การศึกษาต้องสอนให้คนมีวิธีคิด วิธีวิจัย และใช้วิธีการนั้นอย่างถูกต้องว่องไว

๒.ปถมนสิการ คือคิดมีระเบียบ การศึกษาจะต้องสอนให้คนคิดต่อเนื่องอย่างเป็นระบบ มีระเบียบ ไม่กระโดดไปกระโดดมา คิดอย่างมีเป้าหมาย

๓.การณมนสิการ คือคิดมีเหตุผล รู้จักเชื่อมโยงว่าเหตุผลนี้นำไปสู่ผลอะไร หรือผลนี้มาจากเหตุอะไร

๔.อุปปาทกมนสิการ คือคิดเป็นกุศล เป็นการคิดเพื่อค้นหาแก่นสารสาระ เมื่อได้รับข้อมูลข่าวสารมากมาย ต้องรู้จักกรองเอาส่วนที่เป็นประโยชน์และเหมาะสมกับเรา

หนึ่ง คิดอะไรก็ให้มีวิธีคิด
สอง ตั้งดวงจิตแน่วแน่ไม่แปรผัน
สาม ใช้เหตุผลแก้ปัญหาสารพัน
สี่ ต้องใจมั่นตามครรลองมองแง่ดี


ตามต่อได้ที่




เน้นว่าไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนเรา
อย่าลืม ...ถ้าเราถอยเมื่อไหร่เขามาแน่นอน
เขารอเวลาเราท้อใจอยู่

PSช่วยกระจายได้จะดี งานนี้เพื่อสถาบัน(ไม่อยากอ้างคำนี้เลย)แต่เพื่อความเข้าใจ ที่ถูกต้องค่ะ

จดหมายจากแม่พลอย ถึงแม่ช้อย


"ช้อย..


ตอนนี้บ้านเมืองเรามองไปทางไหนก็ไม่ปกติ ฉันเองก็พยายามมองให้เห็นเป็นดีเท่าที่จะทำได้


ใจคอไม่เคยคิดโกรธเกลียดเคียดแค้นใครเลย จนเมื่อได้ออกจากแถวเต๊งไป แล้วมีคนมาเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่มีคนพูดถึงในหลวงท่าน.. ในทางที่..ได้ยินแล้วก็สะท้อนใจว่า


คนเรามันเป็นไปได้ถึงขนาดนี้เลยเทียวหรือ


จากวันที่ได้เห็นท่านเสด็จนิวัติพระนครเมื่อครั้งกระโน้น พระองค์เล็กนิดเดียวเอง..

ช้อยจำได้ใช่มั้ยที่เราไปยืนดูกัน ร้อนก็ร้อน คนก็แน่น..

ใครคนนึงร้องขึ้นมาว่า .. "ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน!"


จนถึงตอนนี้ กี่ปีเข้าไปแล้วนะช้อย ที่เราได้เห็นพระองค์ท่านอยู่ท่ามกลางประชาชน..เสมอ..

พระองค์ไม่เคยทิ้งประชาชนของพระองค์ท่านเลย!

แต่..ประชาชนบางกลุ่มบางพวก กำลังทอดทิ้งพระองค์ท่านรึเปล่าช้อย..


ฉันเองเขียนมาแบบนี้ก็เดาได้ว่า ช้อยคงแช่งชักหักกระดูกให้ธรณีสูบไอ้คนกลุ่มนี้อยู่แน่ๆ

เพราะช้อยก็เห็นไม่ต่างและไม่น้อยไปกว่าฉันเลย ถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีกับคนไทยโดยทั่วและโดยตลอด


แต่..ฉันไม่รู้ว่าช้อยจะคิดเหมือนฉันไหม


ที่คิดว่า หากได้ทรงทราบเรื่องคนกลุ่มนี้ พระองค์ท่านก็คงไม่ทรงถือสา กลับจะเมตตาด้วยซ้ำ!

เพราะฉันเชื่อเหลือเกินว่า คนที่ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานได้ขนาดนี้


น้ำพระทัยของพระองค์ท่านที่มีต่อผู้คนนั้นไม่ได้เป็นเหมือนบ่อน้ำบ่อเล็กๆ..

ทว่าเป็นเหมือน มหาสมุทร..


มหาสมุทรที่มองไปสุดลูกหูลูกตาก็ยังไม่เห็นขอบเขตสุดสิ้นของมัน..


ฉันถึงอยากจะบอกช้อยว่า ฉันสะท้อนใจที่ได้ยินความคิดของคนกลุ่มนี้

แต่ก็ไม่เศร้าโศกเสียใจ เกลียดแค้นใดๆกับคนกลุ่มนี้เช่นกัน..

เชื่อว่า คนอย่างพ่อเพิ่ม คุณเปรม ตาอ้น ตาอั้น ตาอ๊อด..

ก็จะคิดและรู้สึกไม่ต่างจากฉัน


ที่ความคิดเหล่านั้น กลับจะทำให้เรารักพระองค์ท่านมากขึ้น

และที่รักนั้น ไม่ได้เป็นรักอย่างบอดเขลา เพราะใครเขาบอกให้รักก็ค่อยรัก

แต่รักเพราะได้รู้ ได้เห็น ในสิ่งที่เกิดจากพระราชจริยวัตรที่พระองค์ท่านมี..ที่พระองค์ท่านเป็นตลอดมา


การที่คนกลุ่มนั้นคิดแบบนั้น.. ก็มีแต่จะทำให้คนอย่างเราๆ..เข้มแข็ง


เพราะ..


มีแต่ความรักที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น ที่ทำให้คนเราเข้มแข็งได้มากขนาดนี้..


ความรักที่ยิ่งใหญ่ จากคนตัวเล็กๆ.. แต่มากมาย.. มากมายเหลือเกินช้อย..


ถ้าช้อยจะถามฉันว่า ความรักที่ยิ่งใหญ่นั้น วัดได้จากอะไรบ้าง..

ฉันเองก็คงตอบช้อยไม่ได้เหมือนกัน แต่นึกเอาเองได้ตอนนี้ว่า

มันก็คงจะคล้ายๆกับภาพที่เห็นเมื่อครั้งที่พระองค์ท่านมีพระชนมายุครบ 80 พรรษา

ที่ใครๆต่างก็มาร้องคำว่า "ทรงพระเจริญ" นั่นเอง


ท้ายนี้ฉันมีเพลงที่รู้ว่าช้อยอยากฟังมาฝาก หายากพอดู

แต่โชคดีที่ฉันพอมีเลยเอามาปันกันได้..



แต่ช้อยอย่าเปิดดังนักนะ ถึงเราไม่คิดแค้นใดๆคนพวกนั้น


แต่เขาคิดอย่างไรนั่นเราก็ไม่รู้! เผลอเปิดดังไป ได้ยินแล้วพาลหงุดหงิดจะมาปิดวิทยุของช้อยซะเปล่าๆ!



พลอย..."

บังเอิญเหลือเกินที่อยู่ๆคิดถึงนิยายเล่มแรกๆที่ได้อ่าน ประจวบกับเป็นวันนี้ วันดี เอามาแบ่งปันค่ะ

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=267453






วันจันทร์, พฤษภาคม 03, 2553

จะทำอะไรได้บ้าง

บางทีคิดว่า นั่งหน้าจออย่างนี้ จะทำอะไรได้บ้าง
ตัวนิดเดียว ออกไปทำไรใครก็ไม่ได้
หลายหนที่ได้อ่านFW ต่างๆที่หมิ่นในหลวง
เพื่อนพ้อง พี่น้องหลายคนส่งต่อ
โดยที่บางทีเราลืมไปว่า
มันคือดาบสองคม
อย่างเราๆท่านๆ อาจคิดว่าไอ่คนอย่างนี้ต้องประนาม
ให้มันหมดไปจากสังคมไทย
เราเห็นด้วยที่จะต้องประนาม แต่ยังติดใจว่า บางครั้งข้อความที่เราส่ง
มันจะทำให้คนบางกลุ่มเชื่อตามที่พวกพวกนั้นเขาบอกไหม

เชื่อว่ามี ถึงไม่มีก็ไม่ควรเสี่ยง เลยรวมสมัครพรรคพวกทำGrop เล็กๆขึ้นมา

ช่วยกันหยุด!! Stop Forward, Stop Share ,Stop Post ...webหมิ่นสถาบัน
แนวคิดคือ ถ้าเราเจอเวปพวกนี้ แทนที่เราจะเอาข้อความพวกนั้นFWต่อ เราก็สามารถแจ้งกับทางหน่วยงานที่รับแจ้งได้

ถามว่าทำไมเรื่องพวกนี้ จึงเกิดขึ้นในช่วงนี้ ถามสติปัญญาอันน้อยนิดของเรา
คิดว่า อาจจะเป็นเพราะเราตื่นตัวกันช้า และประมาทในการข่าวของฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป

เราคิดว่า คนไทยเราจะมีจิตใจมั่นคงพอ คิดว่าเราจะเข้มแข็งพอ
แต่ลืมไปว่า พวกนี้เข้าถึงตัว จานดาวเทียมติดถึงบ้าน(ฟรีๆ)
ชาวบ้านถ้าว่างจากงาน ก็เปิดดูกัน บางบ้าน ดูกันทั้งวันทั้งคืน!!!
ก็ไม่แปลกที่เขาก็เขาเชื่อของเขา
รักของเขา แต่บางทีอยากจะถามสักคำว่า
แล้วคนที่ท่านเทิดทูนมาตลอดชีวิต เล่า เหนื่อยมาตลอดหลายสิบปีเล่า
ทำไมถึงลืมท่าน ทำไมถึงเชื่อเขา เขาทำอะไรให้จริงๆบ้างไหม

พูดไปก็เท่านั้นได้แต่หวัง ว่าเราจะเข้มแข็งพอให้ผ่านช่วงเลวร้ายของประเทศอย่างในเวลานี้ได้

ขอบคุณค่ะ




p.s.พบเบาะแสเวปที่ไม่สมควรนะคะ เบื้องต้น

web ICT สายด่วน 1212 รับแจ้งเว็บไม่เหมาะสม พร้อมอีเมล 1212@ mict.mail.go.th


สนักงานตำรวจแห่งชาติ :nectec
โทรศัพท์ 02-564-6900 ต่อ 2338 - 2340 โทรสาร 02-564-6901-3

**หมายเหตุ** ไหนๆเรียนกฎหมายแล้ว ขออ้างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้นิดนึง เพื่อจะบอกว่า
การกระจายข้อความหมิ่นนั้นนอกจากอาจทำให้เกิดการยั่วยุแล้ว มันมีโทษทางกฏหมายด้วยนะพี่น้อง

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ บัญญัติว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี

อย่างไรจึงเรียก “หมิ่นประมาท”?

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖ผู้ใด ใส่ความ ผู้อื่น ต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่ น่าจะทำให้ ผู้อื่นนั้น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือ ถูกเกลียดชัง ผู้นั้น กระทำความผิด ฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน หนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกิน สองหมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
แอ๊ดมึน